เฟอร์รารี่ เอฟ12เบอร์ลิเนตทา (อังกฤษ: Ferrari F12berlinetta) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Ferrari F12 เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราสมรรถนะสูง เครื่องยนต์กลางลำหน้า ขับเคลื่อนสองล้อท้าย (FMR) 2 ประตู 2+2 ที่นั่ง ผลิตโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอิตาลี เฟอร์รารี่ เอฟ12เบอร์ลิเนตทา ได้เปิดตัวครั้งแรกที่งานเจนีวามอเตอร์โชว์ ปี ค.ศ. 2012 เพื่อมาแทนที่รุ่น เฟอร์รารี่ 599 ซึ่งได้ยกเลิกการผลิตไปในปี ค.ศ. 2012 ด้วยเครื่องยนต์ที่พัฒนามาใหม่ ขนาด 6.3 ลิตร V12 เพื่อใช้กับ เอฟ12เบอร์ลิเนตทา คันนี้ ทำให้รถได้รับรางวัล “รถที่มีสมรรถนะดีที่สุดและเครื่องยนต์ที่ดีที่สุด ที่เหนือ 4.0 ลิตรขึ้นไป” (Best Performance category and Best Engine above 4.0 litres) จากรางวัลเครื่องยนต์นานาชาติแห่งปี (International Engine of the Year Awards) นอกจากนี้ยังติดชื่อ “ซูเปอร์คาร์แห่งปี 2012” บนนิตยสารท็อป เกียร์ อีกด้วย
ตัวถังของ เอฟ12เบอร์ลิเนตทา ได้รับการออกแบบโดย แผนกออกแบบของบริษัทเฟอร์รารี่และบริษัทพินินฟารินา มาพร้อมกับขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่า 599 โดยระบบเกียร์ได้เปลี่ยนเป็นชนิด เซมิ-ออโต้ 7 จังหวะ ดูโอ-คลัทซ์ ส่วนเครื่องยนต์ มีขนาด 6,262 ซีซี V12 ซึ่งใช้กับ เฟอร์รารี่ เอฟเอฟ ด้วย เอฟ12เบอร์ลิเนตทา มีกำลัง 740 PS (544 kW; 730 แรงม้า) ที่ 8500 rpm และแรงบิดที่ 690 N·m (509 lb·ft) 6000 rpm จึงทำให้ เฟอร์รารี่ เอฟ12เบอร์ลิเนตต้า กลายเป็นรถเฟอร์รารี่บนถนน (Road-legal) ที่มีกำลังมากที่สุดและเร็วที่สุด ในปัจจุบัน เอฟ12เบอร์ลิเนตทา สามารถ ทำความเร่ง 0-100 กม./ชม. (62 ไมล์/ชม.) ได้ที่ 3.1 วินาที และความเร็วสูงสุดได้ถึง 362 กม./ชม. (225 ไมล์/ชม.) ตามหลักทางทฤษฎี ประเทศอิตาลีมีลักษณะอากาศหลากหลายแบบ และอาจมีความแตกต่างจากภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนตามลักษณะพื้นที่ตั้ง พื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศ เช่นเมืองตูริน มิลาน และโบโลญญา มีลักษณะแบบอากาศภาคพื้นทวีปที่ค่อนข้างร้อนชึ้น (การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน Cfa) พื้นที่ชายฝั่งติดกับทะเลของแคว้นลีกูเรียและส่วนใหญ่ของคาบสมุทรที่อยู่ใต้ลงไปจากฟลอเรนซ์เป็นภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน (การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน Csa) คือมีอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี โดยมีลมจากแอฟริกาพัดเอาความร้อนและความชี้นเข้ามา พื้นที่ชายฝั่งของคาบสมุทรอิตาลีสามารถมีความแตกต่างกันได้มากจากระดับความสูงของภูเขาและหุบเขา โดยเฉพาะเมื่อถึงฤดูหนาวในที่สูงก็จะมีอากาศหนาว ชื้น และมักจะมีหิมะตก ภูมิภาคริมทะเลมีอากาศไม่รุนแรงในฤดูหนาว อากาศอุ่นและมักจะแห้งในฤดูร้อน และพื้นที่ต่ำกลางหุบเขามีอากาศค่อนข้างร้อนในฤดูร้อน
ประเทศอิตาลีมีฤดู 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง โดยฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 0 °C (32 °F) บนเทือกเขาแอลป์ ถึง 12 °C (54 °F) บนเกาะซิซิลี และในฤดูร้อนจะมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20 °C (68 °F) ถึง 30 °C (86 °F) และอาจสูงกว่านี้ได้ในบางช่วง[1คาบสมุทรอิตาลีมีมนุษย์อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่า ดินแดนลุ่มแม่น้ำไทเบอร์เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลตั้งแต่เมื่อประมาณ 5 หมื่นปีที่แล้ว และด้วยอิตาลีนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งมีอารยธรรมโบราณกล่าวคือ อารยธรรมมิโนอันและไมซีเนียน อารยธรรมที่เกี่ยวพันกับอารยธรรมกรีกโบราณ อิตาลีเป็นประเทศที่มีอารยธรรมมาช้านานและแผ่ขยายดินแดนอื่น ๆ ในทวีปยุโรป
ในช่วง 1,600 ปีก่อนคริต์ศักราช พวกอีทรัสคัน จากเอเชียไมเนอร์ก็ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เป็นแคว้นทัสกานีในปัจจุบัน พร้อมกับนำอารยธรรมกรีกเข้ามาเผยแพร่ ส่วนพวกกรีกเองก็ได้เดินทางมาตั้งอาณานิคมชื่อว่า “แมกนากราเซีย” (อิตาลี Magna Graecia) ในตอนใต้ของอิตาลีใน 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณตั้งแต่เมืองเนเปิลส์จนถึงเกาะซิซิลี ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช พวกอีทรัสคันได้มีอำนาจปกครองดินแดนตั้งแต่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิตาลีตั้งแต่หุบเขาโป จนถึงบริเวณเมืองนาโปลี และดินแดนรอบ ๆ กรุงโรม ขณะเดียวกันชนเผ่าอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีก็รวมตัวกันจัดตั้งเป็นนครรัฐขึ้น เพื่อต่อต้านการขยายตัวและอำนาจของพวกอีทรัสคันและกรีก ชนเผ่าที่สำคัญในการต่อต้านอำนาจเหล่านี้ได้แก่พวกละติน หรือโรมัน ซึ่งเมื่อถึง 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกละตินก็ได้มีอำนาจเหนือดินแดนอิตาลี เกาะซาร์ดิเนียและซิซิลี ทั้งหมดแล้ว
ใน 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช โรมได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นระบอบจักรวรรดิ โดยมีจักรพรรดิออกเตเวียน เป็นจักรพรรดิพระองค์แรก นครหลวงแห่งนี้ได้เจริญถึงขีดสุดและสามารถขยายอำนาจปกครองอิทธิพลไปทั่วทั้งยุโรป และบริเวณรายรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการค้าและความเจริญในด้านวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ แทนอารยธรรมกรีกที่เสื่อมถอยลง ระหว่างปี ค.ศ. 96 – 180 เป็นช่วงระยะเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองของจักรพรรดิที่ปกครอง 5 พระองค์ แต่หลังจากนั้น โรมต้องประสบปัญหาทั้งในทุก ๆ ด้าน รวมไปถึงการรุกรานของพวกอนารยชน รวมทั้งการเสื่อมโทรมทางศีลธรรมจรรยา ใน ค.ศ. 312 จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงยอมรับคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งมีผลให้คริสต์ศาสนามีโอกาสได้เผยแพร่ไปทั่วดินแดนที่อยู่ใต้อาณัติของโรม และทรงแบ่งจักรวรรดิโรมันออกเป็นสองส่วน คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก และจักรวรรดิไบแซนไทน์ ในคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 5 จักรวรรดิโรมันตะวันตกและกรุงโรมได้ถูกพวกอนารยชนชาวเยอรมันเข้าปล้นสะดม ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 476 จักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้ายก็ถูกพวกอนารยชนขับออกจากบัลลังก์ คาบสมุทรอิตาลีถูกแบ่งออกเป็นนครรัฐทั้งหลายซึ่งมีอิสระต่อกันกว่า 14 รัฐ