ต้นกำเนิดของมินิเป็นสายรถยนต์ขนาดเล็กที่โดดเด่นของประเทศอังกฤษที่ผลิตโดยบริติชมอเตอร์คอร์ปอเรชันจาก ค.ศ. 1959 จนถึง 2000 รูปแบบของมันครอบคลุมถึงมอร์ริสมินิ-ไมเนอร์ และออสตินเซเวน, คันทรีแมน, โมค, 1275 จีที และคลับแมน รุ่นที่ดำเนินการเหล่านี้ใช้ชื่อคูเปอร์ เนื่องด้วยเป็นหุ้นส่วนกับเจ้าของตำนานการแข่งรถอย่างจอห์น คูเปอร์ สำหรับรถมินิสองประตูแบบดั้งเดิมได้รับการผลิตอย่างต่อเนื่องจนถึงปี ค.ศ. 2000 โดยการพัฒนาสืบทอดได้เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1995 และรถรุ่นใหม่ได้รับการเปิดตัวในปี ค.ศ. 2001 การแบ่งประเภทของมินิในปัจจุบันรวมถึงฮาร์ดทอป/แฮทช์/คอนเวอร์ติเบิล (รถยนต์สามประตู), คลับแมน (เอสเตท), มินิคันทรีแมน (ครอสโอเวอร์ห้าประตู), คูเป/โรดสเตอร์, และเพซแมน (ครอสโอเวอร์สามประตูซึ่งอิงมาจากคันทรีแมน)
มินิเดิมเป็นสินค้าของบริติชคอร์ปอเรชัน ซึ่งในปี ค.ศ. 1966 ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของบริติชมอเตอร์โฮลดิง ซึ่งได้รวมเลย์แลนด์มอเตอร์ในปี ค.ศ. 1968 ไปเป็นรูปแบบบริติชเลย์แลนด์ ซึ่งมินิได้กลายเป็นยี่ห้อในสิทธิของตนเองในปี ค.ศ. 1969 ในคริสต์ทศวรรษ 1980 บริติชเลย์แลนด์ได้ยุติการร่วมมือ และในปี ค.ศ. 1988 ทางโรเวอร์กรุ๊ป รวมทั้งมินิ ได้ถูกซื้อโดยบริติชแอโรสเปซ ครั้นในปี ค.ศ. 1994 โรเวอร์กรุ๊ปก็ได้ถูกซื้อโดยบีเอ็มดับเบิลยู ส่วนในปี ค.ศ. 2000 โรเวอร์กรุ๊ปก็ได้ยุติความสัมพันธ์กับบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูได้ผูกขาดตราสินค้าของมินิเอาไ โดยมีโยเชน กอลเลอร์ แห่งบีเอ็มดับเบิลยูได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการบริหารของส่วนมินิ
มินิแฮทช์, ฮาร์ดทอป, คลับแมน, คอนเวอร์ติเบิล, คูเป และโรดสเตอร์ จะประกอบที่โรงงานแพลนต์ออกซฟอร์ดของบีเอ็มดับเบิลยูในคาวเลย์ ประเทศอังกฤษ และคันทรีแมนกับเพซแมนจะได้รับการประกอบโดยมักนาชไตร์ ในประเทศออสเตรีย โดยมียอดรวมจำหน่ายรถมินิทั่วโลกที่ 301,526 คันในปี ค.ศ. 2012 ยานพาหนะมินิยังเป็นที่สนใจในการแข่งแรลลี โดยมินิ คูเปอร์ เอส ยังชนะในการแข่งขันมอนติคาร์โลแรลลีได้ถึงสามครั้งในปี ค.ศ. 1964, 1965 และ 1967 นอกจากนั้น รถมินิยังได้เข้าร่วมรายการเวิลด์แรลลีแชมเปียนชิพตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 ผ่านทีมโปรไดรฟ์ ดับเบิลยูอาร์ซีรถมินิ คือรถขนาดเล็กที่ผลิตขึ้นโดยบริติชมอเตอร์คอร์ปอเรชัน (บีเอ็มซี) ประสบความสำเร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 จนกระทั่ง 2000 เป็นรถที่โด่งดังที่สุดที่ผลิตโดยชาวอังกฤษ ต่อมาเข้าแทนที่โดยรถนิวมินิ ที่ออกมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 2001 โดยบีเอ็มดับบลิว บริษัทแม่ในปัจจุบันของ บีเอ็มซี รถมินิแบบดั้งเดิมถือเป็นสัญลักษณ์ในยุคทศวรรษ 1960 เป็นรถประหยัดพื้นที่ ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า (ที่ 80% ของพื้นที่เป็นพื้นที่ของการโดยสารและกระเป๋า) ยังมีอิทธิพลต่อการผลิตรถในรุ่นต่อมา ในบางครั้งยังได้รับการพิจารณาว่าเทียบเท่ากับรถเยอรมันอย่าง รถเต่าโฟล์กสวาเกน ที่ได้รับความแพร่หลายในอเมริกาเหนือ
ลักษณะเด่นคือมี 2 ประตู ออกแบบโดย เซอร์ อเล็ก อิซซิโกนิส มีการผลิตที่โรงงานในลองบริดจ์และคาวลีย์ ในสหราชอาณาจักร , โรงงานในวิกตอเรียปาร์ก/เซ็ตแลนด์ ของ บริติชมอเตอร์คอโปเรชัน (ออสเตรเลีย) ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย และต่อมาในสเปน (Authi), เบลเยี่ยม, ชิลี, อิตาลี ,โปรตุเกส, แอฟริกาใต้ ,อุรุกวัย, เวเนซูเอลา และยูโกสลาเวีย รถมินิมาร์กวัน ต่อมามีรุ่น มาร์กทู, คลับแมน และมาร์กทรี ในนี้ยังมีรูปแบบที่หลากหลายเช่น รถโดยสาร รถบรรทุก รถแวน และมินิโม้ก (ที่มีรูปแบบเหมือนรถจี๊ป) ส่วนรถมินิคูเปอร์และคูเปอร์ “เอส” เป็นรถที่ดูสปอร์ตและประสบความสำเร็จในฐานะรถแรลลี่ ที่ชนะในการแข่งเซอร์กิตเดอโมนาโก ที่มอนเตการ์โล มาแล้วถึง 3 ครั้ง รถมินิมีแผนการตลาดภายใต้ออสตินและมอร์ริส ตั้งแต่มินิกลายเป็นยี่ห้อในปี ค.ศ. 1969 การออกแบบและพัฒนา การออกแบบครั้งแรกอยู่ในโครงการ ADO15 (ย่อมาจาก Austin Drawing Office โครงการที่ 15) มินิเกิดมาจากปัญหาจากการขาดแคลนเชื้อเพลิง ในปี 1956 อันเป็นผลมาจากวิกฤติการณ์ซูเอซ ที่มีการลดการจ่ายน้ำมัน สหราชอาณาจักรเล็งเห็นว่าต้องรื้อฟื้นการจัดสรรเชื้อเพลิง ยอดขายรถใหญ่ตกลง และเกิดความครึกครื้นของตลาดรถที่เรียกว่า รถบับเบิล ที่มีต้นกำเนิดมาจากเยอรมนี ลีโอนาร์ด ลอร์ด หัวหน้าในบีเอ็มซีพิจารณาเห็นว่า จะต้องทำอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็ว เขาได้เริ่มสร้างความต้องการพื้นฐานการออกแบบ เช่น รถจะต้องอยู่ในกล่องที่มีขนาด 10 × 4 × 4 ฟุต (3 × 1.2 × 1.2 ม.) , ทีนั่งผู้โดยสารควรมีขนาด 6 ฟุต (1.8 ม.) และความยาว 10 ฟุต (3 ม.) และเครื่องยนต์อันเนื่องมาจากเหตุผลทางด้านราคา ควรที่จะเป็นยูนิตมาตรฐาน อิซซิโกนิสผู้ที่ทำงานร่วมกับอัลวิสมาก่อน ได้กลับมาร่วมงานกับบีเอ็มซีอีกครั้งในปี 1955 และด้วยความชำนาญด้านการออกแบบรถเล็กอยู่แล้ว ทีมงานออกแบบรถมินิยังมี แจ็ก แดเนียลส์ (ที่เคยทำงานกับเขาเมื่อครั้งออกแบบ มอร์ริส ไมเนอร์) , คริส คิงแฮม (เคยร่วมงานอัลวิสมาก่อน) ,นักเรียนวิศวกรรมศาสตร์เครื่องยนต์สองคน และผู้เขียนแบบอีก 4 คน โดยพวกเขาได้ร่วมออกแบบเป็นรถต้นแบบเมื่อเดือนตุลาคม 1957 ซึ่งพวกเขาเรียกว่า “กล่องสีส้ม” อันเนื่องมาจากสีของมัน
ADO15 ใช้ลักษณะทั่วไปของบีเอ็มซี เอ-ซีรีส์ 4 กระบอกสูบ เครื่องยนต์ใช้น้ำลดความร้อน แต่นอกเหนือไปจากนั้นยังวางเครื่องยนต์ตามขวาง (Transverse engine) กับน้ำมันหล่อลื่น ,ระบบขับเคลื่อน 4 สปีด และขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า ลักษณะเด่นอีกประการคือการย้ายตำแหน่ง และรวมเอาห้องเกียร์เข้าไว้เป็นหน่วยเดียวกับเครื่องยนต์ ทำให้มีการใช้น้ำมันหล่อลื่นที่ใช้ในเครื่อง ทำการหล่อลื่นทั้งชิ้นส่วนเครื่องยนต์และระบบเกียร์ ลักษณะเด่นทั้งหมดนั้นถูกนำไปประยุกต์ใช้กับรถยนต์ขนาดเล็กขับเคลื่อนล้อหน้าที่พัฒนาในลักษณะคล้าย ๆ กันในรูปแบบนี้จนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นแล้ว ข้อจำกัดบางประการที่มีในรถก็คือตำแหน่งของหม้อน้ำและรังผึ้งระบายความร้อนวางอยู่ข้างซ้าย และยังสามารถมีพัดลม แต่ลมที่กลับมามีความกดอากาศต่ำใต้ปีกหน้า ตรงจุดนี้เป็นเยี่ยมในด้านขนาดของรถ แต่เป็นจุดด้อยด้านระบายความร้อนหม้อน้ำรถยนต์ผ่านเครื่องยนต์
ระบบกันสะเทือนออกแบบโดยเพื่อนของอิซซิโกนิส ที่ชื่อ ดร. อเล็กซ์ โมลตันจากโมลตัน ดีเวลล็อปเมนต์ส จำกัด ใช้ระบบเต้ายางแทน ระบบนี้ช่วงลดขนาดระบบกันสะเทือนซึ่งก็หมายถึงใช้พื้นที่ได้น้อยลง อยู่ในตำแหน่งซับเฟรม (รองรับเครื่องยนต์ เกียร์ กับชิ้นส่วนช่วงล่าง) การใช้เต้ายางทำให้เกิดความไม่ยืดหยุ่น แต่ล้อผลักออกมาที่มุมของรถ ทำให้มินิมีลักษณะการควบคุมเหมือนรถโกคาร์ต ตอนแรกได้วางแผนไว้ว่าจะเชื่อมระบบของเหลวไว้ด้วยกัน เหมือนกับที่อิซซิโกนิสและโมลตันเคยทำงานร่วมกันในอัลวิส ในช่วงทศวรรษ 1950 แต่การพัฒนาสั้นไปทำให้ไม่พร้อมสำหรับการออกในรถมินิ ระบบช่วงล่างเป็นระบบ Hydrolastic คือเป็นระบบใช้น้ำเป็นของเหลวแทนน้ำมันในกระเปาะรองรับน้ำหนักของรถ ใช้ครั้งแรกใน ออสติน 1100 ออกในปี 1962 กระทะล้อขอบ 10 นิ้ว ทำให้ยางรถต้องพัฒนาตามมาด้วย ซึ่งได้ร่วมกับบริษัทดันล็อป