ฟอร์ด มอนดิโอ เป็นรถยนต์นั่งขนาดกลางที่ผลิตโดยบริษัทฟอร์ดมอเตอร์ เริ่มผลิตตั้งแต่ พ.ศ. 2535 และมีจำหน่ายอยู่ทั่วโลก โดยมาแทนที่รถยนต์นั่งขนาดกลางรุ่นเก่า ฟอร์ด เซียรา ซึ่งเลิกผลิตในปี พ.ศ. 2535 คำว่า “Mondeo” มาจากภาษาละตินที่แปลว่า โลก ฟอร์ด มอนดิโอ เป็นรถยนต์นั่งขนาดกลางที่ผลิตขึ้นสำหรับตลาดยุโรปเท่านั้น แต่เคยมีขายในตลาดเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ซึ่งฟอร์ด มอนดิโอเคยมีขายในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2537-2542 แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก
ฟอร์ด มอนดิโอ มีวิวัฒนาการตามช่วงเวลาได้ 5 Generation (รุ่น) ดังนี้
รุ่นที่ 1 (พ.ศ. 2535-2539)
ฟอร์ด มอนดิโอ รุ่นที่ 1
รุ่นที่ 1 ของฟอร์ด มอนดิโอ เริ่มผลิตในปี พ.ศ. 2535 และเริ่มจำหน่ายจริงในปี พ.ศ. 2536 มีตัวถัง 3 แบบ คือ ซีดาน 4 ประตู แฮทช์แบค 5 ประตู และสเตชันวากอน 5 ประตู โดยใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ฟอร์ด มอนดิโอเป็นรถยนต์รุ่นที่มาแทนฟอร์ด เซียรา ในตลาดยุโรป และฟอร์ด เท็ลสตาร์ ในตลาดเอเชีย มีเครื่องยนต์หลายขนาด ตั้งแต่ 1.6 ,1.8 ,2.0 และ 2.5 ลิตร และใช้ชิ้นส่วนร่วมกับมาสด้า โครโนส
ในประเทศไทยได้มีการนำรุ่นนี้เข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการด้วย โดยเป็นรุ่นที่ 2 และรุ่นสุดท้ายที่จำหน่ายโดยตัวแทนจำหน่ายทั้ง 2 เจ้า คือนิวเอร่าและยนตรกิจ ในช่วงปี พ.ศ. 2538-2540 ซึ่งมีให้เห็นอยู่ไม่มากนัก
รุ่นที่ 2 (พ.ศ. 2539-2543) รุ่นที่ 2 เริ่มผลิตในปี พ.ศ. 2539-2543 โดยเป็นรุ่นสุดท้ายที่มีจำหน่ายในประเทศไทย เนื่องจากไม่ได้รับความนิยมมากนัก เพราะเจ้าตลาดในขณะนั้น (โตโยต้า คัมรี่ ,ฮอนด้า แอคคอร์ด ,นิสสัน เซฟิโร่) เป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมากกว่า และภาพลักษณ์แบรนด์ดีกว่า (ในขณะนั้นฟอร์ดในไทยเพิ่งเริ่มก่อตั้ง) มีเครื่องยนต์ 4 ขนาดคือ 1.6 ,1.8 ,2.0 และ 2.5 ลิตร และมีตัวถังให้เลือก 3 แบบคือ ซีดาน 4 ประตู ,แฮทช์แบค 5 ประตู และสเตชันวากอน 5 ประตูตามเดิม
รุ่นที่ 3 (พ.ศ. 2543-2550) ฟอร์ด มอนดิโอ รุ่นที่ 3 รุ่นที่ 3 เริ่มผลิตในปี พ.ศ. 2543-2550 โดยรุ่นนี้ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว มีเครื่องยนต์ให้เลือก 5 ขนาด คือ 1.8 ,2.0 ,2.2 ,2.5 และ 3.0 ลิตร โดยรุ่นนี้มีจำหน่ายใน ยุโรป ,เอเชีย ,บราซิล และเม็กซิโก โดยรุ่นนี้เป็นรุ่นสุดท้ายที่ใช้ชิ้นส่วนร่วมกับมาสด้า โครโนส
รุ่นที่ 4 (พ.ศ. 2550-2555) รุ่นที่ 4 เริ่มผลิตในปี พ.ศ. 2550-2556 การออกแบบมอนดิโอรุ่นนี้ได้ถูกนำไปใช้ในการออกแบบ ฟอร์ด เอส-แม็กซ์ ,ฟอร์ด กาแล็กซี และวอลโว่ S80 ด้วย มีเครื่องยนต์ 6 ขนาดด้วยกัน คือ 1.6 ,1.8 ,2.0 ,2.2 ,2.3 และ 2.5 ลิตร มีระบบเกียร์ 4 รูปแบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ,เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ,เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และเกียรอัตโนมัติพาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด
แต่ที่แปลกประหลาดและเรียกความสนใจของเฟียสตาที่เป็นที่กล่าวถึงกันมาก คือ หน้าปัทม์รถ ที่มีรูปร่างประหลาด ปกติ หน้าปัทม์รถแบบทั่วไป เข็มวัดทุกเข็มจะอยู่รวมกันในเบ้าใหญ่เบ้าเดียว แต่เฟียสตารุ่นที่ 2 ในต่างประเทศ เกจ์วัดแต่ละเกจจะอยู่ในเบ้าเล็กๆ เกจ์ละเบ้า ไม่ได้อยู่รวมกัน
รุ่นที่ 3 (พ.ศ. 2532 – 2540) ฟอร์ด เฟียสตา รุ่นที่ 3 เฟียสตารุ่นที่ 3 มีการผลิตรถแฮทช์แบคแบบ 5 ประตูเป็นครั้งแรก (ก่อนหน้านี้มักจะมีแต่แบบ 3 ประตู) เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2532 ก่อนการเปิดตัว 2 เดือน ต้นแบบรถเฟียสตารุ่นที่ 3 จำนวน 250 คัน ได้ถูกส่งมอบไปให้กลุ่มลูกค้ารายใหญ่ของบริษัท เพื่อเข้าสู่กระบวนการทดสอบรถบนการใช้งานจริง โดยเฟียสตาใหม่ มีระบบควบคุมการหยุด และระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ทำให้มีความน่าเชื่อถือในการใช้งาน ปีแรกหลังการเปิดตัว ฟอร์ดสามารถขายเฟียสตาใหม่ได้ถึง 500,000 คัน และในปีที่สองมียอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 649,781 คัน และนอกจากนี้ ยังมีการเสริมระบบความปลอดภัย เช่น เปลี่ยนวัสดุที่บุพวงมาลัยให้สามารถดูดซับแรงกระแทกได้ดีขึ้น เพื่อลดการบาดเจ็บจากการที่ศีรษะกระแทกพวงมาลัยหากรถชน, ติดตั้งถุงลมนิรภัยเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน, ตัวถังที่แข็งแรงขึ้นเพื่อป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง, เข็มขัดนิรภัยที่มีระบบดึงกลับและปรับความตึงอัตโนมัติ, เบาะคู่หน้าแบบป้องกันการลื่นไถล, ปุ่มฉุกเฉิน กดเพื่อตัดการจ่ายเชื้อเพลิงออกจากถังในทันทีในกรณีเกิดอุบัติเหตุที่อาจมีเชื้อเพลิงรั่วไหล ดังนั้น ถึงแม้เฟียสตาอาจมีความปลอดภัยต่ำกว่ารถรุ่นอื่นๆ เป็นบางรุ่น ก็เป็นธรรมดาของรถขนาดเล็กที่มีความสามารถในการปกป้องผู้โดยสารต่ำกว่ารถใหญ่โดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าเทียบกับรถขนาดเดียวกันแล้ว ถือว่า “ปลอดภัยไร้เทียมทาน”
เฟียสตารุ่นที่ 4 ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความโค้งมนรอบขึ้น เหลี่ยมมุมต่างๆ ถูกแทนที่ด้วยลายเส้นโค้ง ทำให้ลู่ลมได้ดีขึ้น ช่องระบายอากาศด้านล่างถูกเปลี่ยนใหม่, มีแผงไฟขนาดใหญ่ขึ้น, ระบบกันสะเทือนด้านหน้าออกแบบใหม่โดยใช้เหล็กเสริมกันโครง, และด้านหลังมีการออกแบบคานบิดใหม่และติดตั้งระบบควบคุมการยึดเกาะ Traction Control เพื่อเพิ่มความสามารถในการทรงตัว, มีการติดตั้งระบบเบรกแบบ ABS 4 Channel, เครื่องยนต์ใหม่ ประหยัดน้ำมันและปล่อยไอเสียในระดับต่ำ จนได้รางวัล รถยนต์สีเขียว ฟอร์ด เฟียสตา รุ่นที่ 4 เป็นรถที่มียอดขายสูงที่สุดในสหราชอาณาจักร 3 ปีซ้อน และมีภาพรวมเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ขายดีที่สุดในยุโรป เฟียสตารุ่นที่ 5 ออกแบบให้ทันสมัยขึ้นอย่างก้าวกระโดด และมีการติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านข้าง ในภาพรวมแล้ว เฟียสตาเริ่มเสื่อมความนิยมลงในแถบยุโรป โดยกลายเป็นรถที่มียอดขายอันดับ 3 รองจาก โอเปิล คอร์ซา (อังกฤษ: Opel Corsa) และ เปอโยต์ 206 แต่ยังได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในประเทศ บราซิล
ฟอร์ด เฟียสตา รุ่นที่ 6 เปิดตัวในงานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ 2008 และเริ่มขายตลาดไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ที่ฟอร์ดประเทศไทย ได้นำเฟียสตาเข้ามาผลิตและจำหน่าย โดยในรุ่นนี้ เฟียสตามีตัวถังแบบรถซีดาน เป็นครั้งแรก (ซีดานคือรถทั่วๆไปที่มีกระโปรงหลังและกระโปรงหน้า) ซึ่งฟอร์ดจะขายเฟียสตาทั้งแบบซีดานและแฮทช์แบค และจากการทดสอบความปลอดภัยของเฟียสตาใหม่ ก็พบว่า เฟียสตาใหม่ ปลอดภัยในระดับแถวหน้าของรถเล็ก และยังได้นำรุ่นพิเศษ ที่ให้ถุงลมนิรภัย 6 ลูกและ 7 ลูก (รถ segment นี้ปกติจะมีถุงลมให้ 1-2 จุดเท่านั้น)ระบบ ESP มาจำหน่ายในไทยอีกด้วย เครื่องยนต์มีให้เลือกคือ 1.25, 1.4, 1.6, 1.4 ดีเซล, 1.6 ดีเซล ในประเทศไทยมีให้เลือกเฉพาะ 1.4 และ 1.6 เบนซิน ภายหลังมีการเพิ่ม 1.5 เบนซิน ตัวถังมีให้เลือกคือ 3, 5, 4 และ 2 ประตู van เกียร์มีให้เลือกคือ อัตโนมัติ 4 สปีด, ธรรมดา 5 สปีด, และ 6 สปีด dual clutch PowerShift